สูตรสำเร็จไร้พรมแดน : ดนตรีคนนอกของศิลปินพิเศษ เวสลี่ย์ วิลลิส
ในบรรดาศาสตร์และศิลป์จำนวนมากของวงการดนตรี กลุ่ม “ดนตรีคนนอก” (Outsider Music) นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหมวดหมู่ดนตรีที่แปลกพิสดารที่สุดหมวดหมู่หนึ่ง จากการเล่นดนตรีที่อยู่นอกกรอบธรรมเนียมการร้องเพลงหรือเล่นดนตรีที่คนทั่วไปจำกัดความว่า “ไพเราะ” อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเหล่านักดนตรีคนนอกเองไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังแหกกฎทฤษฎีดนตรีอย่างสุดโต่งอยู่
เหล่า “ศิลปินคนนอก” ไม่ได้อยู่นอกกรอบดนตรีกระแสหลัก เพราะพวกเขามีแรงจูงใจที่จะปฏิวัติวงการด้วยเทคนิคการเล่นใหม่ๆ เหมือนศิลปินเพลงทางเลือกทั่วไป แต่พวกเขาสร้างดนตรีรูปแบบพิสดารด้วย ‘สัญชาติญาณ’ ที่มาจากปูมหลักที่ ‘แตกต่าง’ ของพวกเขาล้วนๆ สิ่งที่พวกเขาเล่นออกมาอาจประหลาดเสียจนไม่มีนักดนตรีมืออาชีพคนไหนเล่นตามได้ หรืออาจเกิดจากการปล่อยให้ ‘อาการพิเศษ’ ของพวกเขานำทางเสียงดนตรีที่เล่นให้ออกมา จนผิดแผกจากดนตรีปกติอื่นๆ แทบทั้งหมด
เวสลี่ย์ วิลลิส (Wesley Willis, 1963-2003) เป็นตัวอย่างของศิลปินคนนอกที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง เขาเป็นชายแอฟริกันอเมริกันร่างใหญ่ ผู้หากินกับศิลปะและดนตรีตามท้องถนนของเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา เขาเดินทางไปไหนมาไหนพร้อมวอล์คแมนและคีย์บอร์ดคู่ใจติดเนื้อตัวที่ไม่ได้สะอาดนัก เพื่อไปอัดเพลงที่เขาแต่งเองลงเทปขายตามคอนเสิร์ตต่างๆ ทั้งในฐานะผู้ชมและผู้แสดง
เมื่อเวสลี่ย์ถูกใจใครเข้า เขาจะทักทายพวกเขาด้วยการโหม่งหัวที่หน้าผากของพวกเขา ซึ่งเขาทำเป็นกิจวัตรเสียจนห้าผากของเขามีรอบด่างอยู่ตรงกลางเป็นริ้วรอยประจำตัว
นอกจากงานดนตรีของเขาแล้ว เวสลี่ย์มีงานอดิเรกคือการนั่งรถเมล์ชมทิวทัศน์ในเมืองชิคาโก้ แล้ววาดภาพทิวทัศน์เหล่านั้นด้วยปากกาลูกลื่น ซึ่งเขามักนำภาพเหล่านี้ไปขายหรือใช้เป็นปกอัลบั้มของเขา
แม้เวสลี่ย์ วิลลิส ดูเป็นคนที่กระตือรือร้นและบ้าบิ่น แต่เขามีปูมหลังที่แร้นแค้นเป็นอย่างมาก เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน ในการดูแลของพ่อนักธุรกิจริมถนนที่ไม่ค่อยจะดูแลเขากับพี่น้องอีกเจ็ดคนเท่าไหร่นัก ในปี ค.ศ. 1986 เวสลี่ย์ถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยจิตเภทเรื้อรัง (Chronic Schizophrenia) อันเป็นต้นตอที่ทำให้เขามีพฤติกรรมประหลาด อารมณ์ไม่คงที่ และระดับสติปัญญาไม่สูงนัก
อาการของเวสลี่ย์รุนแรงขึ้นเมื่อแฟนใหม่ของแม่ขโมยเงินเก็บของเขาไป และเอาปืนจ่อหัวเขาไม่ให้ขัดขืน ตั้งแต่นั้นมาโรคจิตเภทของเวสลี่ย์ก็กำเริบหนักจนทำให้เขาได้ยินเสียงในหัวของตัวเองเป็นกิจวัตร และเขามักเรียกเสียงเหล่านี้ว่าเป็น ‘เสียงของปีศาจ’ ที่ตามหลอกหลอนเขา
ด้วยเหตุนี้ ดนตรีที่เวสลี่ย์ร้อง เล่น แต่ง และอัดเอง จึงออกมาพิสดาร แตกต่าง และไม่มีใครลอกเลียนได้… ยกเว้นแต่ตัวเขาเอง เวสลี่ย์มักกล่าวกับคนที่มาสัมภาษณ์ว่า เขาเคยแต่งเพลงมาเป็นหมื่นๆ เพลงด้วยตัวเอง การพูดแบบนี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณได้ลองฟังเพลงของเขาสักสองสามเพลง ก็อาจไม่แปลกใจเลยที่เวสลี่ย์กล่าวอ้างอะไรแบบนั้น
ถึงเวสลี่ย์จะเป็นศิลปินใต้ดินทุนต่ำที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับรากหญ้า แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีของเขาแตกต่างกลับเป็น “สูตรสำเร็จ” เพลงของเขามีโครงสร้างเหมือนกันมากเกือบร้อยทั้งร้อย การนั่งฟังอัลบั้มของเขาทำให้ผู้ฟังปั่นประสาทตัวเองไปกับสิ่งที่ศิลปินคนหนึ่งอยากจะพูด พูด และ พูดอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน
เพลงเดี่ยวทุกเพลงของเวสลี่ย์ วิลลิส มีดนตรีประกอบมาจากคีย์บอร์ดของเขาทั้งหมด ซึ่งเวสลี่ย์ไม่กลัวที่จะใช้เมโลดี้เดิมในเพลงหลายๆ เพลง กระทั่งใช้ดนตรีประกอบเดิมซ้ำทั้งดุ้นในเพลงใหม่ แต่เปลี่ยนความเร็ว เปลี่ยนคีย์หลัก หรือใส่เอฟเฟกต์แปลกๆ เข้าไปประกอบเพลงหรือดัดแปลงเสียงร้องของเขา ซึ่งเสียงที่เพิ่มเข้าไปก็มีทั้งที่เข้ากับเพลงบ้าง ไม่เข้าบ้าง
นอกจากนี้ การร้องเพลงของเวสลี่ย์เองก็มีสูตรสำเร็จตายตัวเช่นกัน เขาร้องเพลงในแบบแผน/ท่อนกลอนสลับท่อนสร้อย (verse-chorus-verse-chorus-verse-chorus) เหมือนกับเพลงป๊อปกระแสหลักทั่วไปทุกเพลง แต่ว่าในท่อนกลอนนั้น เวสลี่ย์จะพูดเนื้อร้องเป็นประโยคคำพูดเร็วๆ รัวๆ เหมือนท่องบทพูด และตะโกนร้องชื่อเพลงนั้นซ้ำๆ กันให้เป็นท่อนสร้อย เมื่อเขาจะจบเพลงทุกเพลง เขาจะกล่าวประโยคติดหูประจำตัว
“Rock over London, rock on, Chicago”
ตามด้วยประโยคโฆษณาของผลิตภัณฑ์อะไรซักอย่างที่เขาจำได้ (เช่น “Wheaties, the Breakfast of Champions”, หรือ “Mitsubishi, the word is getting around”) ตามลำดับแบบนี้ทุกครั้งไป
เวสลี่ย์ต้องใช้เวลาดิ้นรนกับเสียงในหัวของเขาจนไม่มีเวลามานั่งคิดว่าเขาจะร้องเพี้ยนหรือหลงแค่ไหน เขาเน้นการร้องเพื่อถ่ายทอดอารมณ์หลุดๆ ป่วยๆ แต่น่าเอ็นดูของเขาไปเต็มที่
จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดในเพลงของเวสลี่ย์ วิลลิสนั้น คือเนื้อร้อง/เนื้อหาของเพลงที่เขาแต่ง (แน่นอนว่าทั้งมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แล้วแต่ว่าอารมณ์ในหัวที่ปั่นป่วนของเวสลี่ย์จะพาไปทางไหน) เขามักจะใช้ ดนตรีเป็นรูปแบบการบันทึก และสื่อสาร เกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ ที่พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของเขา (“Tammy Smith”, “Rick Sims”) หมอที่เคยดูแลและให้ยาเขาในศูนย์บำบัด (“Aftab Noorani”) นักดนตรีชื่อดังในยุค 1990s (“Radiohead”, “Kurt Cobain”) หรือรายละเอียดการแสดงคอนเสิร์ตของวงใต้ดินที่เขาเคยไปดู (“Urge Overkill”, “Skrew”) เวสลี่ย์สามารถนำสูตรเพลงสำเร็จของเขามาเปลี่ยนให้เป็นความบันเทิงตามสไตล์ของเขาเองได้หมดทั้งสิ้น
ผลงานสำคัญ เขาเคยแฉเรื่องโทษของการกินฟาสต์ฟู้ดทำให้เสียสุขภาพออกมาเป็นเพลง “Rock n’ Roll McDonald’s” ซึ่งอาจเป็นเพลงที่คนรู้จักมากที่สุดของเขา เพราะได้กลายเป็นเพลงประกอบสารคดีสุดเกรียน “Super-size Me!” ของ Morgan Spurlock
เพลงบางเพลงของเวสลี่ย์ยังถูกแต่งออกมาเพื่อระบายเล่าเรื่องภายในหัวของเวสลี่ย์เอง ทั้งประหลาดและเหมือนเรื่องโปกฮาตามจินตนาการของเขา เช่น เรื่องของสัตว์ประหลาดครึ่งไก่ครึ่งวัวที่ไล่แทงก้นเขาในฤดูหนาวของเพลง “The Chicken Cow” และเพลงระบายความแค้นส่วนตัวของเขาต่อฮีโร่คนหนึ่งที่ล้อเลียนเขาและเรียกเขาว่าขอทาน ในเพลง “I Whupped Batman’s Ass” (ฉันหวดตูดแบทแมน) ความห่ามแบบไม่เกรงใจใครของเวสลี่ย์เป็นเสน่ห์แบบดิบๆ ในเนื้อร้องของเขา การไร้ความยับยั้งชั่งใจในหัวทำให้เขาตะโกนเนื้อร้องขวามผ่าซากสุดๆ อันกลายเป็นเรื่องปกติในเพลงของเขา
แต่เพลงของเวสลี่ย์ไม่ได้มีแต่ความตลกและความห่ามเท่านั้น บางเพลงเขาเปิดใจระบายความทุกข์จากอาการจิตเภทอย่างตรงไปตรงมา เช่น ในเพลงช้าอย่าง “Outburst” และ “Chronic Schizophrenia” (เพลงประกอบของทั้งสองเพลงนี้เหมือนกันหมด ราวกับถูกคัดลอกมา มีแต่คีย์ทำนองที่เปลี่ยนไป ส่วนตัวเวสลี่ย์เองก็ยังคงพูดท่อนกลอนที่ไม่ได้คล้องจองกัน และยังร้องท่อนสร้อยเพี้ยนบ้างหลงบ้างเหมือนเดิม)
ซึ่งผมคิดว่า คุณอาจกำลังหลอกตัวเอง ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกถึงความเศร้าของเวสลี่ย์ที่แสดงผ่านเพลงเหล่านี้ Chronic Schizophrenia: “But when I have bad luck, I’ll always hear evil voices talking to me vulgar. Everywhere I go riding on the CTA bus, all I hear is vulgarity. I hear no music at all” แต่เมื่อฉันโชคร้าย ฉันจะได้ยินเสียงชั่วร้ายพูดหยาบคายใส่ฉันตลอดเวลา ได้ยินแต่เรื่องหยาบคายทุกที่ๆ ฉันนั่งรถเมล์ชิคาโก้ไป ฉันไม่ได้ยินดนตรีอะไรเลย
บทเพลงของเวสลี่ย์ไม่ใช่งานที่ค่ายเพลงขนาดใหญ่สนใจ ไม่ว่าเขาอาจจะถ่ายทอดอารมณ์ในรูปแบบใหม่ได้มากแค่ไหน เขาไม่มีวันผ่านรอบคัดเลือกของรายการประกวดแข่งร้องเพลงทั่วไปแน่ๆ
แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
วงการดนตรีพั้งค์ (punk) เป็นพวกที่ไม่สนใจเรื่องความเป็นมืออาชีพ มากกว่าความแตกต่าง และชุมชนชาวดนตรีที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมนี้ได้กลายเป็นแหล่งรวมแฟนคลับและผู้สนับสนุนที่สำคัญของเวสลี่ย์
อีริค รีด เบาวเชอร์ หรือ เจลโล่ เบียฟรา (Jello Biafra) อดีตนักร้องนำวงพั้งค์หัวการเมือง เดด เคนเนดี้ส์ (Dead Kennedys) เป็นแฟนคลับตัวยงของเวสลี่ย์ และรับเขาเข้าค่ายเพลง ออลเทอร์เนทีฟ เทนทาเคิลส์ (Alternative Tentacles) ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อนำเพลงของเขามาเรียบเรียงเป็นอัลบั้มรวมเพลง Greatest Hits ถึง 3 อัลบั้มด้วยกัน (*Greatest Hits Vol. 1 เป็นอัลบั้มที่ผู้เขียนใช้เป็นแหล่งอ้างอิงหลายเพลงในบทความนี้)
นอกจากความประทับใจในความซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมาที่ไม่เหมือนใครในเพลงของเวสลี่ย์แล้ว พวกเขายังชื่นชมแรงใจและความสู้ชีวิตของเขา เพราะเขามีแรงผลักดันที่จะประสบความสำเร็จสูงมาก และไม่ปล่อยให้ความยากจน ปัญหาครอบครัว การเหยียดสีผิว อาการจิตเภทเรื้อรัง หรือโรคอ้วนมาหยุดยั้งเขาได้
เวสลี่ย์ยังเคยทำงานร่วมกับวงดนตรีร๊อคของตัวเองในระยะหนึ่ง ใช้ชื่อว่า เดอะ เวสลี่ย์ วิลลิส ฟิอาสโก้ (The Wesley Willis Fiasco) ในช่วงปี ค.ศ. 1996 ทำให้เขาได้แต่งเพลงที่ต่างจากเพลงเดี่ยวของเขาเล็กน้อย (ดนตรีเต็มวงสตริงคอมโบ ท่อนกลอนนานขึ้น ท่อนสร้อยซ้ำมากขึ้น) แต่เขายังกลับมาบันทึกเพลงเดี่ยวขายอยู่เรื่อยๆ
เวสลี่ย์ วิลลิส เสียชีวิตด้วยโรคลูคีเมียในขณะที่เขามีอายุเพียง 40 ปี แต่เรื่องราวชีวิตและดนตรีของเขายังคงเป็นที่กล่าวถึงในหมู่คนดนตรีนอกกระแส บางคนชื่นชมในความเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงของเขาที่ไม่มีใครเหมือน ในขณะที่บางคนอาจมองความสำเร็จของเขาเป็นการขายอาการทางจิตเหมือนงานโชว์ตัวประหลาดในละครสัตว์
การเข้าวงการดนตรีสำหรับคนอย่างเวสลี่ย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่สวยหรูเลย เขาไม่รู้มารยาทสังคมมากนัก เมื่อมีคนมาสัมภาษณ์เขาตอบแค่ประโยคสั้นๆ เสียส่วนใหญ่ และเขายังเคยโดนนักต้มตุ๋นหลอกซื้อคีย์บอร์ดแบบกดราคา และกลับมาขายใหม่เต็มราคาอยู่หลายครั้ง
แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า การที่เขาเลือกเป็นนักดนตรีร็อคเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่ากว่าการอยู่ในสถานบำบัด เวสลี่ย์ได้ใช้มันสมองที่แปลกแยกของเขาสร้างสรรค์บทเพลงสูตรสำเร็จไร้พรมแดน ที่นำความสุขมาให้คนที่พร้อมจะรับฟังเขา เท่านั้นก็ทำชีวิตของเขามีคุณค่าความเป็นมนุษย์ในแบบฉบับของตนเองได้แล้ว
“Rock over London. Rock on, Mr. Willis.”
อ้างอิง
– Irwin Chusid – Songs in the Key of Z: The Curious Universe of Outsider Music. A Capella Books, 2000 หน้า xi-xi, 93-99
– Video documentary: https://www.youtube.com/watch?v=FVE1ZWT_rc0
– Noisey article: “Remembering Wesley Willis, Ten Years Later” https://noisey.vice.com/en_au/article/rqwpwr/remembering-wesley-willis-10-years-later
– บทความการเสียชีวิตใน Rolling Stone: https://www.rollingstone.com/music/news/wesley-willis-dies-20030822
– Wesley Willis – Greatest Hits, Vol. 1. 1995, Alternative Tentacles [CD].
ที่มาภาพประกอบ
–https://www.discogs.com/artist/309959-Wesley-Willis
–http://www.monzy.org/wesley
–https://www.allmusic.com/album/greatest-hits-mw0000177965
–https://www.flickr.com/photos/antipyrine
Beam Talks คือ ความตั้งใจสร้างพื้นที่ส่องแสงศักยภาพของบุคคลที่มีความต้องการพิเศษและครอบครัว ผ่านการสื่อสารออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน โครงการนักสื่อสารสร้างสรรค์บันดาลใจ : สื่อเป็นโรงเรียนของสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้แผนงาน สื่อศิลปวัฒนธรรม