Heart+Artist : Heartist
มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นโอกาสการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับกลุ่มบุคคลพิเศษและครอบครัวด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการบำบัดจนถึงสนับสนุนการผลิตอย่างเป็นระบบ ของคุณวริศรุตา ไม้สังข์ (โปสเตอร์) เศรษฐศาสตร์บัณฑิตวัย 26 ปี ผู้สะท้อนคุณค่าและศักยภาพของบุคคลพิเศษผ่านผลิตภัณฑ์ Heartist (Heart+Artist)
องค์ประกอบของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยมีอะไรบ้าง ? มีหัวใจอาสา เชื่อมั่นในความเสมอภาคและศักยภาพของมนุษย์ แสวงหาองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ไม่กลัวความเสี่ยง กล้าลงทุนลงแรง ใช้เทคโนโลยีส่งเรื่องราวที่น่าสนใจสื่อสารเพื่อสร้างแรงกระเพื่อมสู่สังคมเป็น คุณสมบัติเหล่านี้เราถอดออกมาจากตัวคุณวริศรุตาทั้งหมด ซึ่งผลงานของเธอในงานประจำที่ Minute Videos Thailand เป็นคำยืนยันได้อย่างดี
สวัสดีค่ะ วันนี้แอดขอนำเสนอเรื่องราวของเด็กพิเศษ ที่หลายคนมีความเข้าใจผิดและมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก แอดเป็นคนนึงที่มีโอกาสได้สัมผัสความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของน้องๆ จึงอยากมาแชร์ อยากให้ดูให้จบและอยากให้ช่วยกันแชร์ คนเราไม่มีใครปกติหรือผิดปกติ มีแค่ความแตกต่างHEARTIST คือโปรเจ็คของแอดที่ต้องการเห็นการบำบัดสร้างรายได้และเป็นการแสดงศักยภาพของน้องๆอย่าลืมไปกดไลค์เป็นกำลังใจให้แอดได้ที่ HEARTISTdid สิ่งที่แอดอยากเห็นที่สุดคือความรู้ความเข้าใจ การเปิดโอกาสให้น้องได้แสดงศักยาภาพของตัวเองให้คนที่ไม่เคยรู้ได้รับรู้
โพสต์โดย MinutevideosThailand เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2017
ก่อนสร้าง Heartist
คุณวริศรุตา : เราทำงานสื่อและเห็นศักยภาพของมัน เคยมีคนเข้ามาบอกว่าเขามีกำลังใจที่มีชีวิตอยู่เพราะดูวิดีโอของเรา ด้วยเครื่องมือนี้น่าจะช่วยคนกลุ่มอื่นๆ ได้อีกมาก เช่นอีกงานหนึ่งของเราร่วมก่อตั้ง Listen by Heart วิดีโอและสื่อภาพสอนภาษามือ “ภาษาอเมริกันกลาง” สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน คนหูหนวกในบ้านเรานี่ถือเป็นกลุ่มคนพิการที่ถูกลืมมากที่สุด ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนคนทั่วไปและคนคิดว่าเขาน่าจะอ่านออกเขียนได้ ชีวิตไม่ได้มีความยากลำบากอะไร แต่มีนักเรียนหูหนวกจำนวนมากที่เพิ่งมารู้ตัวว่าพอจบมัธยมเขาต้องไปฝ่าฟันสู่รั้วมหาวิทยาลัย และถ้าหลุดออกจากระบบ คนรอบตัวก็คาดหวังให้เขาทำงานมีอาชีพ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ถูกเตรียมความพร้อมมาเลย งานสื่อชุดนั้นเราไม่มีโมเดลสร้างรายได้ อยากทำให้ฟรี แต่ปัญหาคือ เราทำไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะถึงบริษัทจะสนับสนุน แต่มันกินเวลางานประจำจนเรารู้สึกว่าต้องหารายได้เพื่อกลับมาจ้างบริษัทให้อย่างน้อยเขาไม่ขาดทุนไปกับเรา
ระหว่างนั้นก็ทราบข่าว โครงการอรุโณทัยเพื่อบุคคลพิเศษ ประกาศรับอาสาสมัครร่วมทอผ้ากับบุคคลพิเศษ ส่วนตัวชอบทำงานอาสาและชอบงานฝีมือ (Craft) เป็นทุนก็เลยเข้าไปเป็นอาสาสมัคร ทำให้ได้เปิดโลกมีประสบการณ์และเข้าใจบุคคลพิเศษมากขึ้น ว่าเขามีความหลากหลายและพัฒนาได้ กระบวนการทอผ้าทำให้แต่ละคนนิ่งขึ้น เป็นเครื่องมือถ่ายทอดสื่อสารอารมณ์ออกมา งานผืนเดียวเสมือนสมุดบันทึกอารมณ์ที่ต่างกันของเขาในแต่ละช่วงที่ทอ
เราทำงานกับน้องๆ ต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่า ถึงคุยกันไม่เข้าใจแต่จากกระบวนการทำงานน้องมีพัฒนาการดีขึ้น แสดงว่า การทอผ้า ภาษาไม่ใช่อุปสรรค และเป็นตัวช่วยพัฒนาทั้งด้านอารมณ์ ร่างกาย สติปัญญา ซึ่งเราดีใจมากเพราะคิดว่าน่าจะนำกระบวนการนี้ไปใช้กับน้องหูหนวกได้ เลยปรึกษาแม่เปา (คุณขนิษฐา ชาติวัฒนานนท์ ผู่ร่วมก่อตั้งโครงการอรุโณทัยเพื่อบุคคลพิเศษ) ซึ่งแม่เปาก็ยินดีช่วยสอนฟรี เราก็ทำหลักสูตรสอนทอผ้าให้คนหูหนวกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พอประกาศรับสมัครปรากฎว่าไม่มีคนมาเรียนเลย ทำไมล่ะ ? มารู้ทีหลังว่าถ้าคนพิการไปฝึกอาชีพตามที่หน่วยงานของรัฐจัดให้ เขาจะได้เบี้ยเลี้ยงค่ะ ของเราเป็นงานบำบัดถึงจะฟรี แต่เขาต้องเสียค่าเดินทางมาเอง ตรงนี้ทำให้เราต้องกลับมามองกระบวนการทำงานใหม่
ก้าวแรกสู่ Social Enterprise
คุณวริศรุตา เข้าร่วมอบรม SE – 101 ซึ่งเป็นหลักสูตรพื้นฐานของผู้ที่สนใจการทำกิจการเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise จัดโดย G-Lab (School of Global Studies มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ร่วมกับโครงการ SET Social Impact ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากประสบการณ์หลักสูตรทอผ้าเพื่อคนหูหนวกล่มไป อาจารย์ท่านหนึ่งตั้งคำถามกับเธอว่า ในเมื่อ “รายได้ ” เป็นประเด็นสำคัญ ทำไมจึงไม่ตั้งต้นจากการสร้างรายได้ให้กลุ่มเป้าหมายก่อน
เธอมองเห็นความงามทั้งจากกระบวนการทำงานและผลงานผ้าทอฝีมือบุคคลพิเศษ และเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ ซึ่งคือศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าใคร เมื่อลงมือทำงานสมควรได้ผลตอบแทน เพียงแต่จะออกแบบการทำงานอย่างไรให้ เหมาะสม และ พอดี กับทุกฝ่าย
คุณวริศรุตา : ช่วงแรกที่ไปทำงานอาสากับโครงการอรุโณทัยฯ แม่เปากลัวเรามาก เพราะเราทักว่าผ้าสวยๆ ทำไมไม่แปลงมาเป็นสินค้าขาย แกคงคิดว่าเราอยากจะมาขายของอะไรวุ่นวาย ตอนนั้นยังไม่มีความคิดว่าจะทำอะไรขายนะคะ แค่เห็นว่าผ้าสวยมาก แทนที่จะรอการบริจาค ถ้าเป็นเราจะเอาไปทำนั่นทำนี่ขาย จนผ่านไปเกือบปีถึงแน่ใจและเอ่ยปากว่าอยากทำผลิตภัณฑ์นี้ ก็เป็นจังหวะที่เหมาะสมคือแม่เปารู้สึกไว้วางใจ
ช่วงแรกเหมือนเราเอาเงินไปละลายน้ำ เพราะไม่มีความรู้เรื่องผ้าเลย ซื้อมาชิ้นละ 3,000 – 5,000บาท เอามาตัด เสียแล้วต้องทิ้งไม่รู้เลยว่าตัดแล้วหลุดทั้งผืน คิดจะทำกระเป๋าก็นึกว่าง่าย เดี๋ยวไปจ้างคนออกแบบ ขึ้นรูปกระเป๋าแล้วเอาไปขาย จบ / แต่ไม่ใช่เลย ล็อตแรกผ้าเสียทั้งหมด ก็จ้างคนออกแบบนะ แต่ไม่ยอมขึ้นต้นแบบ (mock up) มันแพงเราไม่มีเงิน และมั่นใจว่าไม่ต้องขึ้นหรอกเพราะแบบของเราสวย อะไรอีกล่ะ… เราไม่รู้ค่าแรง ไม่รู้ราคาตลาด เป็นคนไม่ต่อราคาอีกต่างหาก แล้วยังเลือกวัสดุตามใจตัวเองอีก ทำให้ต้นทุนต่อชิ้นสูงมาก เรียกว่าบางล็อตขายเท่าทุนได้ก็เอาแล้ว อาจจะดูโง่มาก คือราคานั้นยังไม่ได้รวมค่าแรงเรา แต่ในเมื่อยังไม่พอใจกับงาน คิดว่าได้ราคาเท่านี้ พอแล้ว แพงกว่านี้เป็นเราเองก็ไม่ซื้อหรอก
เราไม่อยากเอาเรื่องเล่าที่มาในงานของน้องๆ (storytelling) มานำสินค้า ทั้งๆ ที่ทุกคนบอกว่ามีเรื่องเล่าที่ดีอย่างนี้จะขายพันสองพันก็ได้ แต่ขายไปคนใช้ครั้งเดียวหรือเอาไปเก็บ เราไม่อยากได้แบบนั้น ถ้างานที่เรายังไม่พอใจก็ขอคิดแค่ต้นทุน มีคนซื้อช่วยให้เรามีเงินมาหมุนทำต่อไป แน่นอนในทางธุรกิจมันไม่เวิร์ค แต่เราตั้งเป้าไว้ว่า วันหนึ่งแบรนด์เราจะขายแพงได้ ไม่ใช่เพราะเอาเรื่องเล่านำ แต่เพราะสินค้ามันถูกวิจัยพัฒนาคุณภาพสินค้าดี จนเรามั่นใจที่จะตั้งราคาสูงได้
ตอบโจทย์ Stake holder
การทำกิจการเพื่อสังคม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือ Stake holder หรือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งกลุ่มหลักที่สำคัญ คือ กลุ่มบุคคลที่มีความต้องการพิเศษและครอบครัวของเขา นอกเหนือจากกระบวนการบำบัดพัฒนาจากการทำงานทอแล้ว เป้าหมายที่ต้องบรรลุคือ การสร้างงานมีอาชีพและรายได้
คุณวริศรุตา : การทำงานกับกลุ่มครอบครัวในโครงการอรุโณทัยฯ เขาใช้การทอผ้าเป็นงานบำบัดตามหลักวอลดอร์ฟเน้นคุณค่าความเป็นมนุษย์และเป็นกระบวนการทำงานบุคคลต่อบุคคลพัฒนากันไปตลอดชีวิต งานทอจึงบรรลุเป้าหมายการพัฒนาบุคคล จบด้วยตัวมันเอง และกว่าจะได้ผ้าแต่ละผืนกินเวลาไม่ต่ำกว่า 4 – 6 เดือน ตอนนี้เราใช้ผ้าของโครงการฯ น้อยลง คือตั้งใจว่าจะต้องพัฒนากระบวนการผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพก่อนที่จะนำผ้าของน้องมาใช้ ไม่อยากทำผ้าเสียอีก เราเคยทอเอง รู้ดีว่าแต่ละผืนมันมีค่ามากขนาดไหน
จังหวะนั้นเราอยากได้ผ้าย้อมธรรมชาติจากกลุ่มแม่บ้านมาผสมในงาน ค้นไปเจอกลุ่มแม่บ้านชุมชนหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ก็เดินทางไปหลายรอบ จนไปเจอว่าที่นี่มีโรงเรียนอุบลปัญญานุกูลสอนเด็กพิเศษหลากหลายกลุ่มผ่านการงานอาชีพต่างๆ การทอแบบซาโอริก็เป็นหนึ่งในทางเลือก แน่นอนการสอนเด็กพิเศษในโรงเรียนต่างจากการทำงานเพื่อบำบัด เขาฝึกเด็กเพื่อให้มีอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยตั้งใจไม่ทำงานกับมูลนิธิหรือองค์กรอะไรก็ตามที่ช่างทอเราไม่ได้เงิน แต่ที่ รร.อุบลปัญญานุกูล เขาแบ่งรายได้จากการขายให้น้องครึ่งหนึ่ง
งานเดิมที่น้องทำอยู่ใช้ไหมพรม พอใช้ไปมันเป็นขุยง่าย แต่เขาไม่มีทุนซื้อไหมหรอก คุณครูบอกว่าโครงการนี้จะปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เช่น ปิดเมื่อไหมหมดเพราะเขาสู้ราคาไม่ไหว และของจะขายได้เมื่อมีคนมาเยี่ยม ปริมาณซื้อไปแต่ละครั้งก็ไม่เยอะ เราก็เลยตกลงกับโรงเรียนด้วยการรับซื้อทั้งหมด และขอจัดส่งไหมไปให้ (โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไหมที่เราเห็นๆ นี่กระสอบละเป็นหมื่นนะคะ หัวเราะ..)
หน้าที่เราคือสนับสนุนอุปกรณ์ ช่วยดูลวดลาย เปลี่ยนจากไหมพรม ซื้อไหมมาให้ทดลองเยอะมาก เพราะเรายังไม่รู้ว่าตัวไหนดีที่สุด น้องๆ ช่างทอ เขาไม่เคยได้จับไหมแบบต่างๆ ก็เลยสนุกมากชอบมาก ชอบไหมฟูๆ เดิมมีน้องมาเรียนทอแค่ 3 – 4 คน ตอนนี้มี 10 คน ครูก็อยากสอนเพราะอยากให้เด็กมีรายได้ จากเดิมรับงานกลุ่มแม่เปางานแต่ละชิ้นใช้เวลาหลายเดือนเราก็ไม่ต้องเตรียมทุนอะไรมาก แต่ตอนนี้งานกลุ่มที่อุบลฯ เริ่มเยอะ เพราะเป็นโรงเรียนประจำ ช่างมีเวลาทอมาก บางเดือนเราได้งานมา 4 ลังใหญ่ ถ้าเราไม่มีเงินหมุนคือตายแน่
เราทำงานตั้งแต่ต้นทางคือเลือกไหมส่งไปให้ แต่ไม่กำหนดสี อยากเล่นสีไหนก็เล่นเลยตามที่น้องอยากทำ และรับซื้อทุกผืน บางผืนอาจเอาไปทำอะไรไม่ได้ แต่เรารับหมด เป็นการการันตีรายได้พื้นฐานให้เขาแน่นอน ในอนาคตเรามีแผน เมื่อเราอยู่ตัวจะมีคอมมิชชั่นต่อชิ้น เพราะตอนนี้เราไม่รู้ว่าหนึ่งผืนใครทอบ้างเกิดจากการสามัคคีร่วมใจกัน แต่ต่อไป เรามีกระบวนการที่จะรู้ว่า ใครทำบ้าง แล้วแบ่งรายได้ไป ขายได้ รายได้ก็เพิ่ม
คนมักคิดว่าเราขายดี ขายแพง เงินไปไหน ทำไมต้องมีกำไร ?
เอาความพิการมาหากินหรือเปล่า ?
ใช่ค่ะ เราเอาคนพิการมาหากินเพราะเราต้องการให้เขา หากินได้
ทอฝันให้ยั่งยืน
การลงไปทำงานในพื้นที่ทำให้คุณวริศรุตาเห็นอุปสรรคต่างๆ ที่ต้องนำมาปรับ/ขยายรูปแบบการทำงานที่ตอบสนองความต้องการหรือโจทย์ใหม่ในเส้นทางที่บุคคลพิเศษต้องเติบโตขึ้น
คุณวริศรุตา : น้องๆ ในโรงเรียนอุบลปัญญานุกูลถือเป็นแหล่งผลิตหลักของเรา ปีนี้มีน้องบางส่วนที่กำลังจะเรียนจบพวกเขาต้องกลับไปอยู่บ้าน เป็นจังหวะชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งกิจวัตรที่เปลี่ยนไป ครอบครัวที่ไม่เคยดูแลหรืออยู่ด้วยกันนานๆ เพราะน้องอยู่รร.ประจำมาตลอด การทำงานทอต่อที่บ้านก็แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะกี่ตัวหนึ่งราคาหลายหมื่น ยังจะค่าไหมอีก เราเลยริเริ่มเอากี่ทอมือพกพาและจัดครูเดินทางไปทดลองสอน เพื่อให้น้องทำงานที่บ้านได้ กี่ขนาดเล็กลง ดูเหมือนง่าย แต่ไปครั้งแรกน้องบางคนปาทิ้งเลย มันมีรายละเอียดที่ต้องฝึกใหม่ และเขาอยู่กับกี่ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก
ซึ่งในการเรียนรู้ครั้งใหม่นี้ พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมเพราะน้องต้องฝึกซ้ำ เราไปสอนทุกบ้านไม่ได้ พ่อแม่ต้องรู้วิธีทำ เดิมออกแบบการสอนไว้ 5 ครั้ง เอาเข้าจริงต้องไป 10 ครั้ง เริ่มสอนไป 2-3 บ้านแล้วค่ะ เขาส่งงานมาให้เราเช็คคุณภาพ ทำจากชิ้นเล็กๆ ก่อน เราก็โอนเงินขวัญถุงไปให้ ที่สนุกคือเขาเล่นอะไรก็ได้ คิดลายเอง
มีบางขั้นตอนที่เขาลืม เราก็เลยคิดจะทำคอร์สเรียนที่ดูได้ทั้งแบบออนไลน์และแผ่นซีดี ถ้าทำได้อย่างนี้เราจะสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆ ในอนาคตเราอาจจะเก็บเงิน เช่น กี่เราได้ราคาทุนมาก็ขายราคาทุน เพื่อให้เขารู้สึกว่า นี่คือการลงทุนนะ เราการันตีว่ารับซื้อจริง แต่เอาของไปก็ต้องทอส่งมา ยังมีขนาดของกี่อีกที่ต้องทำวิจัยว่าขนาดไหนจึงจะเหมาะ
ตอนนี้งานของเราแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ งานทอเพื่อการบำบัด งานทอเพื่อฝึกอาชีพ และงานทอจากกลุ่มที่อยู่บ้าน Heartist ไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มบุคคลพิเศษเท่านั้น แต่เป็นงาน สำหรับคนที่มีความต้องการพิเศษ ยกตัวอย่าง มีคุณแม่ท่านหนึ่งติดต่อเรามา ลูกอายุ 11 ปี เป็นมะเร็งสมอง คุณแม่อยากให้น้องมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ เราเริ่มกระบวนการกับเขาด้วยการทอก่อน แล้วก็วางแผนกิจกรรมอื่นๆเพิ่มเติม เช่น ให้น้องทำงานบนเฟรม from waste to worth คือให้ใช้ผ้าจะติด จะแปะ มัด ทำอย่างไรก็ได้ แต่ห้ามตัดออก น้องขยับได้แค่แขน เดินไม่ได้แล้ว เขาก็เป็น Heartist ได้ใช่ไหม เขาไม่ยอมแพ้ ยังทำงาน แบบนี้เป็นแรงบันดาลให้คนที่ยังอยู่ในบ้านอีกมากมาย กี่ทอมือนี่มีงานวิจัยเลยว่า ช่วยทั้งโรคซึมเศร้า สังคมผู้สูงอายุในอนาคตอีก มันขยายต่อไปได้อีกมากมายค่ะ
มีอะไรใน Heartist Hub
คุณวริศรุตา : เราไม่ได้เก่งกว่านักออกแบบ แต่เรารู้จักธรรมชาติของผ้าดีกว่าเขา เรารู้ว่าต้องโชว์จุดเด่นในงานของน้องอย่างไร ไม่ให้งานออกแบบมากลบไป รู้ว่าจะทำให้ผ้าแข็งแรงขึ้น มี 3 ขั้นตอนเป็นอย่างน้อย ซักเสร็จแต่ละชิ้นจะซับอย่างไร บางชิ้นรีดผ้ากาวสองรอบ บางชิ้นบอบบางมากต้องต่อผ้าแล้วเข้าเครื่องรีดร้อนประกบผ้าอีกทีถึงจะตัดได้ องค์ความรู้พวกนี้เราต้องจัดการให้เป็นความรู้ที่ส่งต่อ ทำซ้ำได้
อยากให้ Heartist เติบโตไปเป็น Hub หรือ ศูนย์กลางที่เป็นต้นแบบมีองค์ความรู้ (Know How) กิจกรรมต่างๆ ขยายต่อไปถึงคนที่ขาด คนที่อยู่บ้าน ไปให้ถึงคนที่เห็นคุณค่าของงาน ครอบครัวเอาไปสอนลูกได้ วันหนึ่งเมื่อลูกทำได้ เอาของมาให้เราขาย มีโชว์รูมสินค้าที่ฝากขาย เราเป็นตัวกลางในการทำแบรนด์ให้ หรือน้องที่มาเวิร์คช้อป เราอยากให้เขามีโอกาสเป็นครู มีประสบการณ์ทำงานกับคนอื่นๆ ให้เราเป็นตัวกลางระหว่างโลกของคนพิเศษหรือคนที่ขาดโอกาส กับโลกของคนทั่วไป
บทเรียนสำคัญ
ในวัยเพียง 26 ปี คุณวริศรุตาเติบโตจากการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษอย่างไรบ้าง
คุณวริศรุตา : เราเคารพซึ่งกันและกันทั้งตัวน้องและงานของน้อง การออกแบบทั่วไป นักออกแบบจะออกแบบก่อนแล้วค่อยไปหาวัสดุ แต่งานนี้คือน้องคือผู้ออกแบบลายผ้ามาให้ เราคือผู้ช่วยน้องอีกที ทำอย่างไรให้ของมีมูลค่าเพิ่ม การใช้สีสันบางกลุ่มเขาทำงานเพื่อบำบัด เรากำหนดไม่ได้ งานไม่สมบูรณ์มีตำหนิ รับได้ไหม สำหรับเราตำหนิคือความแตกต่าง การกำหนดราคาเราไม่มองทุกอย่างเป็นต้นทุน เพื่อต่อรองกดให้ถูกลง แต่เราเห็นคุณค่าในงานแต่ละชิ้นที่กว่าจะทำออกมาได้มันคือเวลาสี่ถึงหกเดือน มันคืองานฝีมือ คือราคาที่เขาควรได้รับ ไม่สื่อสารแบบสร้างเรื่องราวให้น่าสงสารที่มองว่ามันขายได้ การขายอย่างเดียวหรือเปล่าที่เขาต้องการ น้องไม่ใช่เครื่องจักรที่ผลิตงานมาเพื่อขายอย่างเดียว น้องอยากได้การสนับสนุนอะไรอีกไหม ทั้งหมดนี้คือ ความเคารพ (Respect) และ วางตัวตน (Ego) ของตัวเองลง
ตอนนี้อายุ 26 บางทีคนอาจมองว่า เราควรเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยไปช่วยคนอื่น แต่เราคิดว่ามันไปด้วยกันได้ แน่นอนเราหวังว่า วันหนึ่ง Heartist เลี้ยงดูครอบครัวคนอื่นได้ และเลี้ยงดูครอบครัวเราเองได้ด้วย และอยากให้ทุกคนที่มาเกี่ยวข้องได้รับผลตอบแทน.
ขอขอบพระคุณ
Heartist , Minute Videos Thailand , ภาพประกอบบางส่วนจาก โครงการอรุโณทัยเพื่อบุคคลพิเศษ
ถ่ายภาพโดย : ศุภจิต สิงหพงษ์
Beam Talks คือ ความตั้งใจสร้างพื้นที่ส่องแสงศักยภาพของบุคคลที่มีความต้องการพิเศษและครอบครัว ผ่านการสื่อสารออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน โครงการนักสื่อสารสร้างสรรค์บันดาลใจ : สื่อเป็นโรงเรียนของสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้แผนงาน สื่อศิลปวัฒนธรรม